ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นหนึ่งในภาษีที่รัฐบาลไทยเก็บจากประชาชนในประเทศเพื่อนำเงินไปใช้ในการบริหารโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้เกิดการพัฒนา เพื่อให้คนในประเทศได้ใช้บริการ โดยภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้นเป็นภาษีที่รัฐเก็บได้จำนวนมากเป็นอันดับ 3 รองจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยในปี 2567 นี้กรมสรรพากรก็มีมาตรการ Easy e-Receipt เพื่อเป็นช่องทางลดหย่อนภาษีสำหรับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
สำหรับใครที่อาจจะยังไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามากนัก ก่อนอื่นสิ่งที่ควรรู้คือ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
- บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้ขั้นต่ำที่ถึงเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรได้กำหนดไว้ โดยไม่จำกัดอายุ ความสามารถ สัญชาติ และอื่น ๆ ของผู้มีเงินได้ มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล และคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล เช่น บุคคลธรรมดาตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปร่วมลงทุนประกอบกิจการร่วมกัน ไม่ว่าวัตถุประสงค์ในการทำธุรกิจร่วมกันจะต้องการแบ่งหรือไม่แบ่งผลกำไรที่อาจเกิดขึ้นจากกิจการนั้นก็ตาม
- ผู้ถึงแก่ความตายในระหว่างปีภาษี ที่มีเงินได้ขั้นต่ำถึงเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้ ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ที่ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นจะต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีแทนผู้ถึงแก่ความตาย
- กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยกองมรดกนั้นมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ประมวลรัษฎากรกำหนด ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ถึงแก่ความตายมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี
- วิสาหกิจชุมชน ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน เฉพาะที่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ลดหย่อนภาษีง่าย ๆ ปี 2567 ด้วย Easy e-Receipt
อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นแล้วว่า ผู้ที่มีสิทธิ์ใช้มาตรการ Easy e-Receipt ของกรมสรรพากรนั้น เงื่อนไขแรกคือจะต้องเป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งไม่รวมห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล โดยจะต้องซื้อสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการที่สามารถออกเอกสารใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) ได้ และสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
ผู้ประกอบการที่จะสามารถออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ได้นั้นจะต้องลงทะเบียนในระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt หรือระบบ e-Tax Invoice by Email ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการนั้น ๆ ประกอบธุรกิจในลักษณะไหน ซึ่งนโยบาย Easy e-Receipt นอกจากจะช่วยลดหย่อนภาษีแล้ว ยังเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบกิจการธุรกิจประเภทต่าง ๆในไทยต้องการเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้นด้วย ซึ่งประชาชนก็สามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการที่สามารถออกเอกสาร e-Tax Invoice & e-Receipt ได้ที่เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
สำหรับระยะเวลาที่เปิดให้ซื้อสินค้าและบริการเพื่อใช้ใบกำกับภาษีหรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์เข้าร่วมโครงการคือ ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567 และเปิดให้ยื่นเอกสารเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้ในช่วงเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2568 เงื่อนไขของสินค้าที่เข้าร่วมโครงการเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนดอย่างเคร่งครัด โดยหลักฐานที่สามารถใช้ยื่นจะต้องเป็นใบกำกับภาษี (e-Tax Invoice) หรือใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เท่านั้น ไม่สามารถใช้เอกสารภาษีในรูปแบบกระดาษได้
รู้หรือไม่ นอกจาก Easy e-Receipt ยังสามารถลดหย่อนภาษีด้วยกองทุนรวมเพิ่มเติมได้ด้วย
อย่างที่ทราบกันว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่ต้องเสียจากเงินได้สุทธิของบุคคลธรรมดา ซึ่งคำนวณจากเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ ทั้งนี้นอกจากจะสามารถลดหย่อนภาษีผ่านมาตรการ Easy e-Receipt ได้แล้ว หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า ประชาชนผู้มีเงินได้สามารถลดหย่อนภาษีจากเงินที่ซื้อกองทุนรวมเพิ่มเติมได้ด้วย คือ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF) สามารถซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี และเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF) สามารถซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี และต้องเมื่อรวมกับการออมและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท เช่นเดียวกับกองทุน RMF
- กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : ThaiESG) สามารถซื้อได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี
จากข้อมูลที่นำมาฝากกันนี้ นอกจากโครงการ Easy e-Receipt ที่สามารถใช้ขอลดหย่อนภาษีได้แล้ว ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาขอลดหย่อนรายได้พึงประเมินสุทธิได้ ขอแค่ให้เราวางแผนภาษีในแต่ละปีให้ดีและรอบคอบเพียงพอ รับรองว่าจะสามารถประหยัดภาษีที่ต้องเสียในแต่ละปีได้ไม่มากก็น้อยแน่นอน